วิทยาศาสตร์พบแล้วว่า.. “เราเลือกเกิดได้

ไม่ยากเลย.. ถ้าได้รู้สิ่งนี้”

“ ถ้าได้รู้แล้ว.. จะทำให้เราเลือกภพที่จะไปเกิดได้.. และในภพชาตินี้ก็จะมีชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข.. ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย ”

 งานวิจัยเรื่อง "วิบากกรรม กับ พันธุกรรม" จากนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง มาถ่ายทอดให้รับทราบดังนี้

“ทุกชีวิต ควรทราบก่อนจะจากโลกไป”

….คนเราเมื่อใกล้เสียชีวิต จะระลึกถึงภาพความทรงจำเก่าๆ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นการบีบอัดข้อมูลในภพชาติปัจจุบัน เพื่อบันทึกเข้าสู่จุติจิต ก่อนที่กายหยาบจะสูญสลายไป….

   มีงานวิจัย ที่ตีพิมพ์ใน Frontiers in Aging Neuroscience วารสารเกี่ยวกับสมองชั้นนำของโลก ฉบับ 22 กุมภาพันธ์ 2022 โดย ทีมนักวิจัย จาก สหรัฐ แคนาดา และจีน ถึง 13 ท่าน ทำการทดลองร่วมกัน พบว่า 
   ก่อนและหลังหัวใจหยุดเต้น 30 วินาที สมองจะประมวลผลความทรงจำของชีวิตอีกครั้ง

   ดร. อัจมาล เซมมาร์ (Ajmal Zemmar) แห่งมหาวิทยาลัยหลุยส์วิลล์ หนึ่งในทีมนักวิจัย บอกว่า 
   เป็นความบังเอิญที่เราค้นพบเรื่องนี้ 
   ในตอนแรกของการทดลอง ไม่มีใครคิดว่า คนใกล้ตายจะมีสัญญาณของคลื่นสมองที่เหมือนกับคนกำลังทำสมาธิหรือฝันอยู่

   ในทางพุทธ บอกว่า ความทรงจำเหล่านั้น เป็นการกระทำเก่าๆ 
   ถ้าทำบาป เช่น เคยฆ่าสัตว์ ภาพของสัตว์ที่กำลังถูกฆ่าจะปรากฏอย่างชัดเจน หรือปรากฏในรูปสัญลักษณ์ เช่น เห็นมีด ปืน ที่ใช้ในการสร้างกรรม 
   ส่วนบุญ ก็จะปรากฏตามที่สร้างมา ภาพของ การทำทาน สร้างโบสถ์สร้างวิหาร, ถือศีล, และเจริญภาวนาจิต จะปรากฏให้เห็น 
   ดังนั้น ภาพนิมิตที่เกิดขึ้นจะเป็นไปตามการกระทำ/หรือกรรมเก่า ที่เคยทำ
   กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ภายในไม่กี่วินาที  
   เพราะเนื่องจากจิตในขณะนั้นมีความไวสูงกว่าแสง ทำให้เวลาจิตยืดยาวขึ้น พอที่จะรับรู้เหตุการณ์ในชีวิตที่ผ่านมามากมายไดัทั้งหมด
   ภาพยนตร์ความยาวสองชั่วโมง เรายังสามารถ download ทั้งเรื่องเสร็จภายในเวลาไม่กี่วินาที 
   แต่จิตทำงานเร็วกว่าระบบดิจิตอลเป็นล้านเท่า 
   ดังนั้น กระบวนการบันทึกกรรม/หรือการกระทำที่เคยทำไว้ จะเกิดขึ้นทันทีทันใด แม้เสียชีวิตแบบกะทันหันก็ไม่เป็นอุปสรรคในการ download เรื่องราวของชีวิตทั้งหมด
   หลังจากนั้น จะเกิด “คตินิมิต” ตามมา คือลักษณะของภพที่จะไปเกิดใหม่ ปรากฏให้เห็นผ่านทางทวาร 6 ( ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ) ทางใดทางหนึ่ง เช่น เห็นภาพวิมานแก้ว/หรือเปลวเพลิง, ได้ยินเสียงอันไพเราะ/หรือเสียงโหยหวน, ได้กลิ่นหอม/หรือกลิ่นเหม็น, ฯลฯ

   ดร.ปีเตอร์ โนเบิล (Peter Noble) แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน พบว่า 
   หลังเสียชีวิต ยีน(gene) และ ดีเอ็นเอ(DNA) ในร่างกายส่วนหนึ่งกลับทำงานอย่างหนักขึ้นต่อไปอีก 24 ชั่วโมง ทั้งที่มันควรจะหยุดทำงานไปแล้วตั้งแต่สมองตาย

[ “ยีน(gene)” คือรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด || และ “ดีเอ็นเอ(DNA)” คือ สารพันธุกรรมที่เป็นส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตซึ่งทำหน้าที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรม ]

   ดร.พีจอท กาจาเจฟ (Dr.Pjotr Garjajev) นักชีวโมเลกุล ที่ศึกษาเรื่องดีเอ็นเอมาอย่างยาวนาน บอกว่า 
   ดีเอ็นเอมีความสามารถในการส่งต่อข้อมูลเข้าไปในมิติที่5ได้  [ มิติที่ 5 หมายความว่า ตัวเราในปัจจุบัน จะเป็นอะไรในอนาคตนั้น อยู่ที่การส่งและรับเก็บข้อมูลของ DNA ]
   นั่นหมายความว่า ขณะเสียชีวิต ร่างกายพยายามถ่ายทอดข้อมูลของชีวิตผ่านทาง DNA ด้วย 
   และระหว่างมีชีวิตอยู่ DNA นี่แหละ คือ ตัว download พลังแห่งกรรมเข้ามาจากอีกมิติ และเหนี่ยวนำตัวเจ้าของ DNAนั้นให้เกิดบุคลิกภาพ ความรู้สึก โรคภัยไข้เจ็บ ไปตามกรรมเก่าที่สะสมมา  
   วิบากกรรม กับพันธุกรรม จึงมีความสัมพันธ์กันผ่านช่องทางนี้      
   ดร.พีจอท กาจาเจฟ บอกว่า DNA ส่วนที่ทำหน้าที่รับพลังแห่งวิบากกรรม คือ Junk DNA คือ DNA ส่วนที่ไม่ได้กลายเป็น gene หรือ DNAที่ไม่เข้ารหัสพันธุกรรม

   ปกติคนเราก็มีความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นมาอยู่ทุกวันในรูปของความฝัน   
   นิมิตตอนใกล้เสียชีวิต แบ่งออกได้ เป็นสี่แบบคล้ายกับความฝัน คือ บุพพนิมิต, เทพสังหรณ์,  จิตอาวรณ์, และธาตุกำเริบ  
   ซึ่ง บุพพนิมิต กับ เทพสังหรณ์ ถ้าเกิดขึ้นกับผู้ใดจะทำให้รู้ถึงภพภูมิที่จะไปหลังจากเสียชีวิต  
   ส่วน จิตอาวรณ์ และ ธาตุกำเริบ เป็นเพียงภาพหลอน ที่เกิดจากความแปรปรวนของกายและจิตขณะป่วยหนัก     

   คนที่ฝึกจิตภาวนา (สมาธิ+ปัญญา) จนถึงในระดับที่คุมนิมิตได้ จะสามารถเลือกให้ภาพสุดท้ายก่อนเสียชีวิตให้เป็นไปตามที่ปรารถนาได้ ( ก็คือ เลือกภพที่จะไปเกิดได้ )  
   พระพุทธองค์จึงทรงบอกว่า “ถ้ามี สติ-ปัญญา  กรรมเก่าก็ทำอะไรไม่ได้” 
   ดังนั้น *ควรฝึกจิตภาวนาด้วย นอกจาก การทำทาน, ถือศีล. 

   *ความรู้สึกสุดท้ายก่อนเสียชีวิตสำคัญมาก.. แต่ถ้าไม่เคยฝึกจิตภาวนา(เจริญสมาธิ+ปัญญา)มาเลย ยากที่จะคุมความรู้สึกในช่วงนี้ได้ 
   เพราะขณะนั้น สภาพร่างกายอ่อนแอเต็มที ระบบร่างกายแปรปรวนด้วยฤทธิ์ยา มีความเจ็บปวด จิตใจว้าวุ่น สับสน ห่วงใย ไม่อยากตาย ต้องใช้กำลังสติสมาธิมากกว่าปกติหลายเท่า จึงจะคุมจิตอยู่

   ฝึกนั่งสมาธิถึงฌาน 2 ก็เห็นนิมิตแล้ว ทำบ่อยๆ จนคุ้นเคยกับมัน ในที่สุดจะควบคุมมันได้ และไม่กลัวตายอีกเลย.. 
   ….นั่นเพราะเราสามารถเลือกไปในภพภูมิใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้ แม้ว่าจะเคยสร้างกรรมที่ไม่ดีมาบ้างก็ตาม อย่างน้อยขอไปเกิดในภพที่สูงไว้ก่อน..
   ….ส่วนบุญ จากการให้ทาน ถือศีล จะส่งผลตามหลังมาจากที่ได้ถือกำเนิดในภพใหม่แล้ว

   ไม่สงสัยเลยว่าทำไมไอน์สไตน์ถึงบอกว่า ในอนาคตจะเหลือศาสนาแห่งจักรวาลเพียงศาสนาเดียว คือพุทธศาสนา นั่นก็เพราะการค้นพบทางวิทยาศาสตร์สอดคล้องกับสิ่งที่พุทธศาสนาบอกมาก่อนตั้งสองพันห้าร้อยปี ไม่ว่าเรื่องเวลายืดหด ปรมาณู มิติต่างๆ  เรื่องจักรวาล การทำงานของสมอง ฯลฯ

ท่านคมสรณ์ พระธรรมทูตสื่อธรรม นำมาถ่ายทอด 🙏🏼🙏🏼🙏🏼

Join The Discussion

Compare listings

Compare