หาเงินก็ได้มากพอแล้ว บ้านก็มีแล้ว รถก็มีแล้ว
ภาระหน้าที่การงานและการดูแลคนอื่นก็จบหมดแล้ว
สุขภาพก็ดูแลตัวเองจนโอเคแล้ว แล้วไงต่อ?
.
ประเด็นสำคัญของคำถามคือ “แล้วไงต่อ?”
.
โปรดสังเกตนะครับท่านผู้อ่าน แม้ชีวิตจะมีความปลอดโรค ปลอดภัย
แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้มนุษย์ไม่มีความสุข
สิ่งนี้ฝรั่งเรียกว่า existential suffering (ทุกข์แห่งการดำรงอยู่)
คือความโหยหาความหมายของชีวิต
.
เอ๊ะ ข้าเกิดมาทำไมวะเนี่ย หึหึ เห็นแมะ เห็นแมะ
แก่จนเกษียณแล้วก็ยังไม่วายสงสัยว่าเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
ผมไม่รู้ว่าหมาแมวมันมีปัญหานี้หรือเปล่า
แต่คนมีแน่ ทุกชาติทุกภาษามีเหมือนกันหมด
.
ยังไม่นับว่าใจคนที่ยังท่องไปในโลกของความคิดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง
ถูกรับรู้ในรูปของสิ่งสมมุติที่เรียกชื่อหรือบอกรูปร่างได้ด้วยภาษานี้
มันมีแนวโน้มที่จะ “เผลอ” ยึดมั่นหรือเกี่ยวพันกับสิ่งสมมุติเหล่านั้น
โดยสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นของจริงไม่ใช่ของสมมุติ
เช่น ความกลัวป่วย กลัวปวด กลัวตาย เป็นต้น
.
นี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งของความทุกข์ซึ่งมีอยู่ในใจของแทบทุกผู้ทุกคน
ที่ถึงแม้จะหล่อสวยรวยทรัพย์ปลอดโรคปลอดภัยดีแล้วก็ตาม
.
………..
คำตอบของผมสำหรับคำถามนี้ก็คือ
ชีวิตไม่มีคำว่าแล้วไงต่อ!
.
แล้วไงต่อ? คือความคิดที่พาคุณหนีจากเดี๋ยวนี้ไปอยู่ในอนาคต
จะเป็นอนาคตช่วงที่เหลืออยู่ก่อนตาย หรืออนาคตหลังตาย
เมื่อคุณเด๊ดสะมอเร่ไปแล้วก็ล้วนเป็นอนาคตทั้งสิ้น
.
ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่ได้มีอยู่จริง!
.
มันเป็นเพียงแค่ความคิด เวลาหรืออนาคตในใจคุณนั้น
มันเป็นแค่เวลาในเชิงจิตวิทยา (psychological time)
ที่หลอกให้คุณหนีจากการใช้ชีวิตในปัจจุบันไปอยู่ในความคิด
.
คุณอย่าหลวมตัวถูกหลอกให้ไปอยู่ในความคิด
แต่ให้คุณ ‘ใช้ชีวิต ‘ ในปัจจุบันขณะ เดี๋ยวนี้!
.
“อ้าว ก็ผมประสบความสำเร็จหมดแล้ว
มีทั้งเงิน บ้าน ที่ดิน ทองคำแท่งสำรอง แถมยังสุขภาพดี
และทำประกันชีวิตประกันภัยเอาไว้ เรื่องท่องเที่ยวผมก็ไปมาหมดแล้ว
ประเทศไหนที่ไหนเขาว่าสวย ๆ งาม ๆ ผมก็ไปดูมาหมดแล้ว
แล้วจะให้ผมทำอะไรดีละ ที่ว่าอยู่กับปัจจุบันเนี่ย จะให้ผมทำอะไร?”
.
ใจเย็น ๆ ครับคุณพี่ ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งขึ้นเสียง ที่ผมพูดว่า ‘การใช้ชีวิต’
ผมหมายถึงการสำรวจเรียนรู้เพื่อค้นหาศักยภาพสูงสุด
ที่ตัวเองมีในฐานะที่เกิดมาเป็นคน
.
แต่ว่าอย่าหวังสูงเกินไปนะ เพราะการเป็นคนนี้
ความจริงก็คือเป็นแค่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
บนดาวเคราะห์ดวงเล็ก ๆ ดวงหนึ่ง ในระบบสุริยะระบบเล็กระบบหนึ่ง
ซึ่งอยู่ที่ชายขอบของทางช้างเผือก อันเป็นดาราจักรขนาดเล็กอันหนึ่ง
ในบรรดาดาราจักรจำนวนไม่รู้กี่แสนกี่ล้านดาราจักร
ที่ประกอบกันขึ้นเป็นเอกภพนี้
.
สิ่งที่คุณประสบความสำเร็จเจนจบมาทั้งหมดแล้วนั้น
มันเป็นเรื่องนอกตัวนะ มันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการเรียนรู้
ถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองในการเกิดมาเป็นคน
.
ที่คุยว่าทำได้มาแล้วทั้งหมดนั้น สาระหลักก็คือ
การกิน ขับถ่าย นอน สืบพันธุ์ การเสาะหาที่หลบภัยให้ตัวเองอยู่รอด …
ทั้งหมดนั้นอย่าว่าแต่สัตว์ชั้นสูงอย่างคนเลย หมาแมวมันก็ทำได้
.
แต่ศักยภาพที่แท้จริงของคนนั้นมันอยู่ที่ ‘ข้างใน’ ไม่ใช่อยู่ที่ข้างนอก
.
‘ข้างใน’ ผมหมายถึงว่าคนเรานี้เมื่อวางความคิดของตัวเองแล้ว
ถอยความสนใจกลับเข้าไป ‘ข้างใน’ มันจะมีศักยภาพที่ผมเองก็เรียกไม่ถูก
ขออนุญาตใช้ภาษาอังกฤษนะ คือ ณ ข้างในตรงที่ ‘หมดความคิด’ แล้ว
คนเรามันมี insight (ญานหยั่งรู้)
.
คือมีความสามารถที่จะ ‘รู้’ จะเข้าใจ
ความเป็นไปของสรรพสิ่งได้อย่างลึกซึ้งถึงกึ๋นได้เอง
แล้วความทุกข์จากสิ่งที่เรียกว่า existential suffering
(ทุกข์แห่งการดำรงอยู่) นี้ก็จะหมดไป
.
……..
เริ่มต้นคุณก็ต้องฝึกนั่งสมาธิ (meditation) ก่อน
ให้ฝึกนั่งมันทุกวันแหละ วันหนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมง
ขอให้คุณทู่ซี้นั่งมันไปจนได้เรื่อง คือจนมัน ‘นิ่ง’
.
ในความ ‘นิ่ง’ ของสมาธิ ให้คุณหัดสังเกตรับรู้ (aware)
ความคิดและอารมณ์ของตัวเอง
.
สังเกตความคิดโดยมองเข้าไปจากข้างนอก ‘มองจิต’
จนความคิดฝ่อหายไปเองหมดเกลี้ยง
.
สังเกตรับรู้ร่างกาย สังเกตรับรู้ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง
ผ่านกลไกที่อยู่นอกเหนือการนิยามหรือบรรยายของภาษา
.
สังเกตรับรู้ความว่างเปล่าที่ ‘ความรู้ตัว’ หรือความสามารถรับรู้นี้
แทรกซึมอยู่ เพื่อทำความรู้จักกับ ‘ความรู้ตัว’
.
ผมบอกใบ้ให้ล่วงหน้าว่า…อะไรที่ถูกความรู้ตัวสังเกตรับรู้ได้
ล้วนไม่ใช่ความรู้ตัว ให้ทิ้งมันไปเสีย นั่นหมายความรวมถึงความคิดด้วย
.
ท้ายที่สุดคุณก็จะเหลือแต่ ‘ความรู้ตัว’ โด่เด่
อยู่อย่างโดดเดี่ยวในความว่าง นิ่ง และเงียบ
.
ตรงนี้แหละที่เป็นปลายทาง เป็นที่ที่จะเกิด insight (ญาน)
ให้เข้าใจอะไรต่าง ๆ อย่างถึงกึ๋นได้เอง
.
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วตัวเราก็เหมือนจะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง
ทั้งที่คนตัวเดิมก็ยังอยู่ แต่มีคนตัวใหม่ที่ข้างในอีกตัวหนึ่ง
ซึ่งไม่ได้มีผลประโยชน์เกี่ยวของอะไรกับคนตัวเดิมเกิดขึ้นมาซ้อน
.
เรียกว่า ‘ตัวนอก’ กับ ‘ตัวใน’ ก็แล้วกัน
.
‘ตัวใน’ มันสงบเย็นและไม่อินังขังขอบอะไร เหมือนกับว่ามันรู้อะไรหมดแล้ว
มันจึงเย็นได้ พลอยทำให้ ‘ตัวนอก’ เย็นลงไปด้วย
.
แต่ ‘ตัวนอก’ ก็ยังจะทำงานทำการสร้างสรรค์
อะไรในทางโลกได้อยู่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
.
ชีวิตที่เหลือก็จะดำเนินไปอย่างนี้ ทีละขณะ ทีละขณะ
สงบเย็นด้วย ทำงานในโลกได้ด้วย
.
นี่คือ ‘การย้ายตัวตน’ หรือ shift of identity ซึ่งจำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน
พันธกิจของชีวิตที่เกิดมาจึงจะถือว่าสำเร็จ
.
ถ้าจะถามผมว่าเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตก่อนตายควรทำสิ่งใดอีก?
.
ผมแนะนำว่าให้คุณทำสิ่งนี้แหละ คือ “กลับเข้าไปข้างใน”
.
สำรวจค้นหาโลกภายในโดยอาศัย insight (ญาน) พาไป
จนพบกับ ‘ความรู้ตัว’ ซึ่งเป็นเราคนใหม่ แล้วย้ายวิก
จากคนเก่าไปเป็นคนใหม่เสียอย่างน้อยก็สักเก้าส่วนในสิบส่วน
.
ก็จะมีชีวิตที่ ‘เดี๋ยวนี้’ อย่างสงบเย็นทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
ที่จะเข้ามาหา แถมปลดความสงสัยตะหงิด ๆ ในใจทิ้งได้อย่างเบ็ดเสร็จ
.
ชีวิตที่เหลือจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าต่อโลกและต่อชีวิตอื่น
โดยที่ตัวเองก็ไม่ทุกข์ และเมื่อถึงเวลาตาย ก็จะพร้อม
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์👨⚕️